คำกล่าวเปิดงานและมอบนโยบายประหยัดพลังงานหน่วยงานภาครัฐ
โดย รองนายกรัฐมนตรี (ดร.วิษณุ เครืองาม)
การประชุมผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ
รวมพลังราชการไทย ลดใช้พลังงาน
วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2548
ณ ห้องมิราเคิลแกรนด์ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี
หัวหน้าส่วนราชการในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ทุกแห่ง
ท่านผู้ว่าราชการจัดหวัด ผู้อำนวยการสถานศึกษา สื่อมวลชน
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่านครับ
ในนามของรัฐบาลและท่านนายกรัฐมนตรี
ซึ่งมอบหมายให้ผมมาปฏิบัติภารกิจสำคัญในเช้าวันนี้
ผมต้องขอแสดงความยินดีต่อหน่วยงานที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะที่เป็นผู้นำในเรื่องของการประหยัดพลังงานไม่ว่าจะเป็นพลังงานประเภทไฟฟ้าหรือน้ำมันก็ตาม
ผมขอแสดงความชื่นชมและยินดีต่อผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างมากในการรณรงค์เรื่องการประหยัดพลังงาน
จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติฝ่ายหลังนี้
ส่วนใหญ่จะเป็นสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นประเภทโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์
หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ ก็ตามที
ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าในสถานการณ์ที่เราจะต้องจับมือกัน
รวมพลังเพื่อจะหาทางลดการใช้พลังงานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นั้น
จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อมวลชน
ถ้าหากท่านทั้งหลายได้ฟังคำกล่าวจาก
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเมื่อสักครู่
ท่านจะทราบว่าการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติวันนี้ ไม่ได้มีขึ้นเป็นปีแรก
แต่ได้มีต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ผมเอง
เมื่อครั้งที่ได้รับมอบหมายให้เป็นกำกับดูแลราชการกระทรวงพลังงานรอบแรก
ก็เคยปฏิบัติหน้าที่ทำนองนี้แล้วครั้งหนึ่ง
แต่ในปีนี้ต้องถือว่าเป็นปีพิเศษ
ที่ว่าเป็นพิเศษก็เพราะว่าทางราชการได้ประกาศชัดแจ้งเป็นปีแห่งการรวมพลังราชการไทย
ลดใช้พลังงาน โปรดสังเกตว่าคำขวัญนี้ มีคำว่าพลังอยู่ 2 คำ
คือคำแรกและคำสุดท้าย พลังแรกเป็นพลังที่จะต้องระดม รวม
และทำให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นเท่าที่จะมากได้ พลังที่สอง
คือพลังที่จะต้องถูกลดทำให้หมดไปในที่สุด
จึงเป็นการนำเอาพลังหนึ่งไปลดอีกพลังหนึ่ง
พลังแรกที่ต้องระดมและรวบรวมสรรพกำลังทั้งหลายก็คือพลังในภาครัฐ
ซึ่งอันที่จริงในโอกาสอื่นก็จะขยายไปถึงภาคเอกชนและประชาชนด้วย
ทั้งหมดนี้จะต้องรวมกันเพื่อจะนำไปสู่เป้าหมายเดียวเท่านั้น
คือการลดการใช้พลังงานในประเทศ
คำถามก็เกิดขึ้นทันทีว่ามีเหตุอันใดหนอที่จะต้องลดพลังงานกันโดยเฉพาะจะต้องมาลดกันในยามนี้
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้แล้วว่า
พลังงานนั้นเป็นสิ่งจำเป็นของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ก็คือพลังงานที่เราได้จากน้ำมัน
ประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าพลังงานโดยเฉพาะก็คือน้ำมันจากต่างประเทศจำนวนประมาณ
ร้อยละ 90 ของพลังงานน้ำมันทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศมีส่วนที่เราผลิตได้
หาได้ ทดแทนกันได้ในประเทศเพียงประมาณ ร้อยละ 10 เท่านั้น
ข้อนี้แสดงให้เห็นว่าเราต้องพึ่งพาอาศัยพลังงานที่มีอยู่นอกประเทศ
และเรื่องของพลังงานที่มีอยู่นอกประเทศ ไม่ใช่งานกาชาดนะครับ
คือไม่มีใครให้มาฟรีๆ และไมใช่ก็ว่าจะมีการได้มาโดยไม่มีการจ่ายค่าตอบแทน
ฉะนั้นประเทศสูญเสียเงินตราที่สุดหวงแหนออกไปสู่นอกประเทศเป็นจำนวนมาก
และแน่นอนที่สุดเราจะเอาเงินบาทไปขอซื้อก็ไม่ได้ต้องแลกเงินบาทที่มีอยู่ให้เป็นเงินตราสกุลต่างระเทศ
กว่าจะได้เงินบาทก็ต้องเหนื่อยยาก ทำมาค้าขาย มีแร่ มีธาตุ มีอัญมณี
มีทองคำ ที่เก็บกักตุนสำรองไว้ก็แปลงมาเป็นเงินตรา
เปลี่ยนเงินตราสกุลไทยเป็นเงินตราสกุลต่างประเทศแล้วก็จ่ายออกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงาน
ซึ่งก็เป็นอย่างเดียวกันกับเวลาที่เราดิ้นรนขวนขวายหาของต่างๆ
เข้ามาในประเทศ ความแตกต่างมันอยู่ที่ว่า
เงินตราที่เราต้องใช้ไปในการดิ้นรนขวนขวายหาพลังงานจากต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศนั้น
มันมากมหาศาล และนับวันก็จะมากยิ่งๆ ขึ้นทุกๆ ที
และก็จะเป็นที่น่าเสียดายถ้าหากเราใช้อย่างเปล่าเปลือง ไร้ประโยชน์
ไม่คุ้มค่า ข้อนี้เห็นได้ชัด
ถ้าหากว่าท่านได้สำรวจตรวจตราตัวเอง
ไม่นานมานี้เมื่อเราเติมน้ำมันในรถส่วนตัวของเราเต็มถังไม่ว่าจะเป็น 40
หรือ 60 ลิตร เราเคยจ่ายไม่ถึง 200 บาท และก็ขึ้นมาเป็น 400 บาท 600 บาท
800 บาท เพียงไม่นานมานี้ 1,000 บาท ก็สามารถเติมได้เต็มถัง
วันนี้มันขึ้นไปถึง 1,200 บาท 1,500 บาท
และก็มีแนวโน้มว่าอาจจะต้องมากขึ้น
แม้แต่เงินตราสกุลต่างประเทศที่เราใช้ไปในการซื้อพลังงานประเภทน้ำมันเข้ามาในประเทศ
วันเดียวกันนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ผมนั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีมีโอกาสฟังรายงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบเค้าบอกว่าต้องซื้อน้ำมันในราคาหน่วยวัดที่เราเรียกว่าบาร์เรลละเพียงไม่กี่เหรียญสหรัฐฯ
ภาษาเศรษฐกิจบอกว่า พอไหว คือพอจะถูลู่ถูกังไปได้
2 ปีที่แล้ว
ก็มีการรายงานในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก มันสูงขึ้น
แต่ก็ยังพอ ไหว
เดือนเดียวกันนี้ในปีที่แล้ว ก็มีการรายงานคณะรัฐมนตรี
ว่าบัดนั้นราคาน้ำมันมันทะยานสูงขึ้นไปอีกเป็นอันมาก ถ้าจะลำบากแล้ว
ต้องเตรียมตัว
และเมื่อไม่กี่วันมานี้ก็มีการรายงานคณะรัฐมนตรี ในปีนี้เองว่า
ราคาน้ำมันสูงขึ้นไปกว่าเดิมมาก
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวเมื่อสักครู่ว่าบาร์เรลละมากกว่า 50
เหรียญสหรัฐฯ ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าต่อไปมันจะทะยานขึ้นไปขนาดไหน
เหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัวเพราะมันจะย้อนกลับมาสู่ข้อความที่ผมเรียนในตอนต้นว่า
ถ้าหากเงินตราที่เราจ่ายออกไปนอกประเทศและได้พลังงานน้ำมันเข้ามานั้น
หากใช้อย่างเปล่าเปลืองไร้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างมาก
เพราะเหตุว่าเมื่อเวลาเราจ่ายออกไปนั้นมูลค่ามหาศาลจริงๆ ครับ
ชนิดที่เขียนเป็นตัวเลขนึกไม่ออกว่าจะต้องใส่ศูนย์ลงไปกี่ตัว
เพราะน้ำมันที่เราสั่งซื้อจากต่างประเทศไม่ใช่ 40 ลิตร 60
ลิตรที่เติมเต็มถังรถยนต์ของเรามันมีมากกว่า 25,000 ล้านลิตร
และพอคูณเป็นมูลค่าเงินตราที่ออกไปนั้น ต้องนับว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัว
และคำถามที่เกิดขึ้นในวงการหมู่ที่รับผิดชอบวันนี้คือเราได้ใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่
เราได้วางมาตรการใดรองรับและวางมาตรการที่จะประหยัดหรือไม่
คำถามก็เกิดขึ้นว่าทำไมถึงต้องประหยัด
เรื่องนี้มันต่างจากเหตุการณ์เมื่อ 25-30 ปี
ใครที่มีอายุอยู่ในช่วงเวลานั้นคงจะจำได้
ประเทศไทยหรือโลกทั้งโลกเคยประสบกับภาวะสำคัญอย่างหนึ่ง
พร้อมกันหมดทุกมุมโลก คือภาวะน้ำมันขาดแคลน ต้องปิดไฟ ปิดโทรทัศน์
ต้องบังคับ ขู่เข็ญ
เพราะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีน้ำมันหรือมีไม่เพียงพอคือมีเงินก็ซื้อไม่ได้
เรือลำแล้วลำเล่าที่เทียบท่าเข้าจอดในประเทศไทย เคยขนน้ำมันมาได้เท่าใด
ก็ลดจำนวนที่ขนมา
มันเกือบจะต้องแบ่งสันปันส่วนกันไปแล้วเราต้องใช้น้ำมันในการผลิตอะไรต่อมิอะไรมากมายเมื่อไม่พอการผลิตอย่างอื่นก็ไม่พอตามไปด้วย
ปรากฏการณ์ครั้งนั้น เจ็บแสบมาก
ช่วงเวลานั้นผมอยู่ต่างประเทศ ประเทศที่รุ่งเรืองอย่างสหรัฐฯ
มลรัฐที่ร่ำรวยอย่างแคลิฟอร์เนียเค้าปิดไฟตั้งแต่ 3 ทุ่ม ถนนหนทางมืดสนิท
ประชาชนพร้อมใจกันอยู่บ้าน หน้าหนาวปีนั้นชาวบ้านปิด
Heaterให้เหลือน้อยตัว ทุกคนต้องทนทุกข์ทรมาน
เพราะถ้าไม่ทนทุกข์ทรมานร่วมกันอย่างนั้นอย่าว่าแต่ Heater เปิดใช้น้อยตัว
สุดท้ายจะไม่มีเหลือให้เปิดใช้เลย ถ้าทุกคนช่วยกันถลุงพลังงาน
ปรากฏการณ์นั้นเข้ามาถึงประเทศไทยด้วยครับ
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ซึ่งก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้หรือเดือนนี้ มันมีเค้าลางมา 4-5 ปีแล้ว
ไม่ใช่ปรากฏการณ์ขาดพลังงานหรือน้ำมัน ไม่ใช่ไม่พอ
มีน้ำมันพอแต่แพงและแพงขึ้นเงินที่กำไว้และเคยซื้อขนาดหนึ่ง วันนี้กำตั้ง
2 เท่า 3 เท่า ถึงจะซื้อได้ในขนาดเดียวกัน
แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมากำให้ได้มากขนาดนั้นเพื่อจะซื้อพลังงานน้ำมันเข้ามาใช้ให้เพียงพอ
นี่เป็นคำถามที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐ
เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องมีการกำหนดมาตรการในการลดใช้พลังงาน
แต่คงจะไม่ใช่มาตรการอย่างเดียวกันที่เกิดขึ้น ทำกันมาเมื่อ 25-30
ปีที่แล้ว เพราะเหตุการณ์ไม่เหมือนกัน ที่จริงเงินตราเราก็พอมี
แต่เราไม่ได้มีเงินตราที่จะเอาไว้ใช้ทั้งหมดในการซื้อน้ำมัน
เราต้องใช้ในการทำเรื่องอื่นอีกหลายอย่าง ทำถนน สร้างโรงเรียน ทำสะพาน
สร้างโรงพยาบาล แก้ปัญหา ราคาสินค้าเกษตร แก้ปัญหาความยากจน
ยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีเงินอยู่เพียงแค่นี้
และต้องใช้หลายเรื่อง หากเงินส่วนใหญ่ต้องใช้ไปในการซื้อพลังงานน้ำมัน
และนำมาใช้อย่างเปล่าเปลืองและต่อไปก็จะนำไปสู่ภาวะที่น่าเสียใจ
ภาคเศรษฐกิจเคยรายงานคณะรัฐมนตรีว่า
อันที่จริงตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2548
และต่อกับต้นเดือนมิถุนายน คือ 6 เดือนแรก
ถ้าจะพูดภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมแล้วโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว
ต้องบอกว่าภาวการณ์ลงทุนจากต่างประเทศ ตัวเลขนักท่องเที่ยว
และรายได้การส่งออก ไม่ได้ลดลงเลย แม้ว่าจะเจอกับสภาวะโรคซาร์ สึนามิ
โดยปกติประเทศใดก็ตามที่มีเสาหลักทั้ง 3
แล้วถือว่าประเทศนั้นมั่นคงและยั่งยืนแล้ว แต่บัดนี้ วันนี้
เมื่อเอารายได้จากทั้ง 3
เสาหลักมาถัวกันและนำมาคิดคำนวณเทียบกันตามหลักในทางธุรกิจเทียบกันไม่ได้เลยกับเงินตราที่เราต้องจ่ายออกไปเพื่อสั่งซื้อน้ำมันเข้ามาใช้ในประเทศ
หักกลบลบกันแล้วไม่ขาดทุนก็เกือบขาดทุนและก็น่ากลัวเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดนี้มันนำไปสู่จุดเดียวว่า
ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในสภาพการณ์อย่างนี้ประเทศจะเกิดหายนะ
ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีเงินไปซื้อน้ำมัน
แต่เป็นเพราะเงินทั้งหมดที่มีอยู่จะต้องใช้เปล่าเปลืองไปในการซื้อน้ำมัน
เพราะฉะนั้นการพัฒนาอื่นๆ ในประเทศ ก็จะต้องลดน้อยลง ชะลอตัว
เรามีน้ำมันใช้ ไฟฟ้าใช้ กันทั้งประเทศ
แต่ประชาชนไม่ได้อยู่ได้แต่เพียงปัจจัยเหล่านี้
ปัจจัยอื่นความเจริญอื่นการพัฒนาอย่างอื่น
และคุณภาพอย่างอื่นของประเทศหมดไปทันที
ทำอย่างไรจึงจะรักษาดุลยภาพทั้งหมดไว้ในประเทศได้
ตรงนี้ก็มาถึงจุดที่รัฐบาลได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าต้องใช้มาตรการประหยัดพลังงานผมได้กล่าวเมื่อสักครู่ว่า
สภาพอย่างนี้ไม่ได้เพิ่งมาเกิดตอนนี้ เดี๋ยวจะคิดว่าเพิ่งมาเกิดหลังสึนามิ
มาเกิดในรัฐบาลนี้ หรือเกิดหลังเลือกตั้ง หรือเกิดหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ไม่ใช่ครับ มันมีมาตั้งแต่ปลายปี 2543 ต่อกับต้นปี 2544 และเรื่อยมาๆ
แน่นอนสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางทำให้รุนแรงยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าใครได้มีโอกาสดูมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่ ปี 2544 และ 2545
ก็จะเห็นว่าได้เริ่มใช้มาตรการประหยัดพลังงานมาเป็นลำดับ
ทั้งขู่ทั้งเข็ญทั้งคาดโทษ โดยเฉพาะส่วนราชการต้องเป็นผู้นำ
ถ้าส่วนราชการใดไม่ประหยัดพลังงานจะต้องถูกลงโทษ
การลงโทษอาจจะไม่ใช่รายบุคคล แต่เป็นการลงโทษทั้งหน่วย
แต่บังเอิญ
ส่วนราชการหลายแห่งเหมือนมีพระมาช่วย คือช่วงเวลาที่ต้องประหยัด
รัดเข็มขัดและปรับตัวยอมรับมติคณะรัฐมนตรี
ที่ขอให้มีการประหยัดพลังงานนั้น มันเกิดการปฏิรูประบบราชการขึ้น เมื่อ
ปลายปี 2545 หลังปฏิรูประบบราชการรัฐบาลก็ประกาศตั้งต้นใหม่
สำนักงบประมาณลดงบประมาณลงหน่วยงานละ 10 เปอร์เซ็นต์
โดยหวังว่าจะหมดไปกับการแก้ปัญหาลดพลังงาน
ปรากฏว่าหลายส่วนราชการยังสิ้นเปลืองเหมือนเดิมเพราะ 10 เปอร์เซ็นต์
ที่ถูกลดนั้นเค้าเอาไปลดในเรื่องอื่น
บางแห่งลดในเรื่องของการให้บริการประชาชนด้วย
มาเมื่อต้นปีนี้เมื่อสถานการณ์เหมือนจะรุนแรงขึ้น กระทรวงงพลังงาน
ก็เสนอมาตรการมาเป็นลำดับ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง
ได้มีการประชุมกันอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดมาตรการเตรียมที่จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
ในไม่ช้านี้ จนวันนี้ยังไม่เสนอนะครับ ข่าวที่ออกไปบอกว่าเสนอแล้ว
และบางครั้งข่าวบอกว่าถูกตีกลับแล้ว ขอเรียนว่ายังไม่ได้เสนอ
หลายเรื่องที่มีข่าวออกมาเข้าลักษณะโยนหินถามทาง
แต่มาตรการที่เราคิดกันจะยืนอยู่บนหลักที่ใช้คำภาษาอังกฤษว่า CIC
C : Convincing
แปลว่า เจรจาหว่านล้อมชักแม่น้ำทั้ง 5 หวังว่าคนฟังจะเคลิ้มตามบ้าง
มาตรการแจกรางวัลวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้เห็นว่าคนทำดีก็ต้องได้ดี
I : Incentive
มาตรการสร้างสิ่งจูงใจ กระทรวงการคลัง
กำลังคิดอยู่ว่าจะหาสิ่งจูงใจอะไรเข้าไปบ้าง สำนักเลขาคณะรัฐมนตรี
กำลังดูอยู่ว่าจะสร้างสิ่งจูงใจอะไรบ้าง
และหลายหน่วยโดยเฉพาะกระทรวงพลังงานซึ่งเป็นเจ้าภาพเอง
มันต้องมีสิ่งจูงใจให้กับคนที่เค้าประหยัดพลังงาน
ไม่ใช้เพียงแค่โล่ที่ท่านได้รับไป กินไม่ได้ ทาไม่ได้ แล้วก็ยังไม่ได้ผล
ซึ่งผมออกจะเชื่อว่าจะไม่ได้ผล มันก็จะไปถึงตัวสุดท้าย คือ
C : Compulsory
ที่แปลว่าบังคับ แต่เราไม่อยากข้ามขั้นตอน 2 ตัวแรก ไปสู่การบังคับเลย
เพราะการทำเรื่องอย่างนี้ การสร้างจิตสำนึกสำคัญที่สุด
ไม่มีประโยชน์หรอกครับ เขากลัว เขาก็ต้องทำตาม ไม่ยากเลย แค่ขึ้นค่าไฟ
ลดการนำเข้าน้ำมัน ปิดโทรทัศน์ ดับไฟ ปิดแอร์ เพิ่มวันทำงาน
มาตรการเหล่านี้จะอยู่ได้ไม่กี่วัน
เพราะถ้าหากในความรู้สึกสำนึกของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะต้องเป็นผู้นำไม่คล้อยตาม
ไม่เห็นความจำเป็น ไม่เลื่อมใสในวิธีการ สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์
การบังคับก็ไม่ได้ผล เค้ามีเหตุผลที่จะคัดค้าน
เพราะเรื่องอย่างนี้นานาจิตตัง ผู้รู้มีมาก ก็จะมีคนเสนอความคิดสวนกลับ
เคยสังเกตว่าเราได้ปล่อยมาตรการประหยัดพลังงานไปบางมาตรการซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะเอามาใช้อย่างจริงจัง
ก็มีการสวนกลับซึ่งบางทีเค้าก็มีเหตุผลในการที่จะสะท้อนกลับบอกว่าไม่คุ้มที่จะไปใช้มาตรการนั้น
สุดท้ายมันยังเปลืองอยู่ดี
แต่แน่นอนว่าเราจะคล้อยตามกระแสเหล่านั้นทั้งหมดไม่ได้
บางครั้งถึงจะว่าอย่างไรก็ต้องทำกัน
มีคนบอกว่าวิธีการประหยัดน้ำมันคือ ขับรถไม่เกิน 90 กม./ชม.
เค้าศึกษาวิจัยมาแล้ว
และวันนึงก็มีคนบอกว่าถ้าขับอย่างนี้จะมีปัญหาตามมาคือ รถติดทั้งเมือง
เราบอกให้ปิดไฟ โดยเฉพาะไฟถนน ปฏิกิริยาย้อนกลับคือโจรผู้รายจะชุกชุม
ฝ่ายที่รณรงค์ก็ท้อเหมือนกัน
ฉะนั้นถูกต้องแล้วที่ช่วงเวลาอย่างนี้จะเป็นช่วงเวลาของการรณรงค์เชิญชวน
สร้างสิ่งจูงใจ เพื่อจะหาสิ่งที่ดีที่สุด ตกผลึกแล้วเอามาบังคับใช้ในอนาคต
ซึ่งไม่ไกลจากนี้
วันนี้อยู่ในช่วงรณรงค์ รณรงค์ด้วยคำขวัญนี้แหละครับว่า รวมพลังราชการไทย
ลดใช้พลังงาน เราชูภาคราชการเป็นตัวนำ
ผมอยากจะเชื่อว่าราชการใช้น้อยกว่าที่อื่น
แต่เราถือว่าคนทั้งประเทศจับตาดูที่ภาคราชการ
ตามสัญชาตญาณของการดูคนอื่นก่อน เราเชื่อว่าถ้าภาครัฐ
ซึ่งมีบุคลากรอยู่ในภาครัฐเกือบ 3 ล้านคน เป็นผู้นำ นำในครอบครัว
นำในหน่วยงานของตน มันจะกระจายไป เพราะเวลาที่ราษฎรมาติดต่อราชการกับเรา
เค้ามองเห็นเค้ารู้สึกว่าเค้าจะต้องกลับไปทำอะไรบ้าง
เราจึงอยากให้ทุกคนทุกฝ่ายร่วมกันเป็นอัศวินสีทอง ขี่ม้าขาวถือธงชาติ
แต่กลัวเหลือเกินว่าอยู่ไปๆ จะท้อ
และสุดท้ายอัศวินสีทองก็กลายเป็นสีธงชาติ ขี่ม้าสีทองและชูธงสีขาว
ถ้าท่านได้มีโอกาสติดตามดูว่าหน่วยงานที่ได้รับรางวัล
แล้วจะเห็นว่าไม่ยากเลยที่เค้าได้รับรางวัล ถ้าหากว่า 20 กระทรวง 263
หน่วยงาน ในประเทศไทยไม่ยากเลยจะลุกขึ้นมาทำตามอย่าง
หรือทำให้ดีกว่านั้นก็ทำได้ลองอ่านดูสิครับว่าเค้าทำอะไรกัน
เค้าเพียงแต่เปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์อะไรที่ทำให้สิ้นเปลือง เช่น
เปลี่ยนหลอดไฟ ซ่อมแอร์ ต่อมาเค้าก็ใช้มาตรการปิดๆ เปิดๆ บางหน่วยเปิด
8.30 น. บางหน่วยเปิดแอร์ 9.00 น. บางหน่วยเปิดไฟ 10.00 น.
แน่นอนพักเที่ยงทุกคนไปกินข้าวก็ปิดเสีย
ตรงเฉลียงทางเดินก็เปิดไฟปิดไฟดูเว้นดวงหรือปิดมันเสียให้หมด ห้องน้ำปิด
เปิดเฉพาะเวลาที่คนเข้า ตอนเย็นเลิกราชการก็ปิด
ใครอยู่เวรอยู่ยามก็เปิดเฉพาะห้องของตน หน่วยที่เค้าประหยัดน้ำมัน
ก็ไม่มีมาตรการอะไรมากกว่า Car Pool
สร้างระบบรถสวัสดิการขนส่งคนแทนทุกคนจะขับรถไปทำงาน
ทำอย่างนี้เป็นกิจลักษณะ เป็นกิจวัตร เป็นนิสัย มันก็เกิดผลดีขึ้น
รัฐมีนโยบายแน่วแน่มั่นคงว่าในระยะยาว เพราะปัญหาน้ำมันมันยืดยาวแน่นอน
อย่าหวังว่าใน 6 เดือน 1 ปี หรือ
ปีครึ่งนี้ทุกอย่างมันจะกลับมาน้ำมันลิตรละ 4 บาทเหมือนอย่างที่เราเคยพบ
แค่ 25-26 บาท อย่างทุกวันนี้ก็บุญถมไปแล้ว
เพราะฉะนั้นรัฐจะต้องเป็นผู้นำให้ทุกคนคิดตามอย่างรัฐได้ว่าในระยะยาวมันจะต้องสร้างระบบพลังงานทดแทนขึ้นมาให้ได้
ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล
หรืออื่นใดที่เป็นพลังงานทดแทนการนำเข้าน้ำมัน ใครมีปัญญาทำวิจัยก็ทำวิจัย
ใครมีปัญญาทางการผลิตต้องผลิต ใครมีปัญญาทางด้านการส่งเสริมต้องส่งเสริม
ผมเชื่อว่าเรามีคำถามในใจกันหลายคน ทำไมเราไม่เอาพลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแดด มีลม ทำไมไม่เอามาใช้
วันหนึ่งมันต้องถึงขึ้นที่เราต้องเอามาใช้ครับ
แต่วันนี้จะเอามาใช้ทันทีมันยังติดขัดอยู่หลายอย่าง ทั้งสนนราคา
ทั้งการลงทุน ทั้งโสหุ้ย แต่เมื่อความเข้าใจ
ความต้องการมันมีมากเข้าและออกมาเป็นมวลรวม
ทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นและกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปดังในนานาประเทศ
ผมให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่าง Building Code
กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร แบ่งออกเป็นอาคารของรัฐ และของเอกชน
อาคารของรัฐ
นั้นต้องบังคับเลยว่าต่อไปนี้ในการก่อสร้างจะต้องติดตั้งระบบประหยัดพลังงาน
การใช้วัสดุ อิฐ หิน ดิน ปูน การสร้างควรกำหนดผนัง เพดาน สูง ต่ำ
การให้สีสัน การติดตั้งหลอดไฟ ภาคเอกชน บังคับเค้าไม่ได้
ก็ต้องตั้งสิ่งจูงใจ ว่าถ้าคุณเดินตามสิ่งที่เราเรียกว่า Building Code
คุณก็จะได้รางวัลจูงใจ อาจจะนำไปลดหย่อนภาษีได้อย่างไร
เรื่องนี้คงต้องคุยกับหน่วยงานหลายหน่วยตั้งแต่กรมโยธาฯ
กระทั่งถึงกรุงเทพมหานคร เพราะเวลาราชการออกแบบมักจะออกแบบประเภทสำเร็จรูป
จะสร้างศาลากลาง ที่ว่าการอำเภอ ศาล ส่วนราชการ ก็สร้างเหมือนกันหมด
ตรงนี้ Building Code
ต้องคิดให้ใหม่แล้วละว่าจะทำยังไงให้มีการประหยัดพลังงานได้
และที่สำคัญเหนือกว่า Building Code คือ Enforcement
การบังคับใช้ เพราะมีคำถามว่า เขียนให้ตาย ถึงเวลาแล้วใครไปตรวจ
ว่าเค้าใช้อิฐ ฉาบปูน ทาสี ตามที่เราว่าหรือเปล่า
ในระยะกลาง
ต้องพึ่งพาโรงเรียน ท่านช่วยกันสอน
ช่วยกันแนะนำลูกศิษย์ของท่านให้เข้าใจคำว่าพลังงาน คำว่าประหยัดพลังงาน
และก็ช่วยกันคิดวิธีประหยัดพลังงานกันขึ้นในโรงเรียน พูดตรงๆ
ว่ารัฐฝากผีฝากไข้ไว้กับตรงนี้มากที่สุด
เพราะเป็นรอยต่อระหว่างมาตรการเฉพาะหน้ากับมาตรการระยะยาว
ถ้าเด็กนักเรียนเข้าใจ กลับไปเค้าก็ไปรณรงค์กับพ่อแม่พี่น้อง
แต่เริ่มต้นครูต้องเข้าใจเสียก่อน
เพราะถ้าครูก็ยังไม่รู้เรื่องว่าที่เค้ารณรงค์ให้มาใช้แก๊ซโซฮอล์นี่มันเป็นยังไง
หลายคนยังนึกว่าถ้าจะดัดแปลงรถให้เป็นรถที่ใช้กับแก๊สโซฮอล์ได้
ต้องเปลี่ยนอะไรกันวุ่นวายเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน
มีบางคนบอกว่าไม่เติมแก๊สโซฮอล์ ต้องลงทุนอีกเยอะ
ผมถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ท่านบอกว่าไม่ต้องลงทุนซักบาท
พอถามว่าทำไมไม่เติม NGV
ตอบว่าไม่ได้หรอกเค้าลือว่าถ้าเติมแล้วเครื่องพังภายใน 3 เดือน
อย่างนี้ต้องแก้ไขความเข้าใจในระดับของครูบาอาจารย์และนักเรียนซึ่งจะขยายไปยังผู้ปกครอง
เมื่อปีที่แล้ว
อดีตรัฐมนตรี พรหมินทร์ เล่าให้ฟังว่าเด็กนักเรียนชาวเขา
ด้วยการนำของครูนำเอามูลช้างมาหมักทำเป็นแก๊สหุงต้มและทำเป็นไฟฟ้าใช้ในโรงเรียน
หรือพิธีกรสุทธิพงศ์เล่าให้ฟังว่าเมื่อ 3-4
ปีที่แล้วเคยเปิดร้านอาหารแล้วนำเอาขยะมาสุมรวมกันแล้วเผาแล้วต่อท่อเป็นแก๊สออกมาทอดไข่เจียวได้
รัฐมนตรี วิเศษ บอกว่าได้ไปพูดจากับโรงแป้งมันสำปะหลัง เค้าเอากาก ขยะ
มาเผาทำเป็นแก๊สแล้วก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้
สิ่งอย่างนี้แหละที่อยากเห็นว่าให้มันเกิดขึ้นในโรงเรียน
และก็จะนำไปสู่ในครัวเรือน
ส่วนมาตรการสำคัญเฉพาะหน้าขอย้ำว่ายังอยู่ในช่วงเวลาของการเชิญชวน
ให้มีความรู้ความเข้าใจว่าช่วยกันประหยัด ส่วนราชการใดที่เปิดแอร์ เปิดไฟ
สายหน่อยได้ช่วยกรุณาทำ ทั้งหมดใช้คำว่ากรุณา
เพราะเราไม่อยากกำหนดว่าต้องเปิดแอร์ได้ตอนไหน
ส่วนราชการใดเปิดพัดลมได้ให้เปิด เปิดหน้าต่างได้ก็ให้เปิด
ผมอ่านผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลเค้าใช้พัดลมแทนแอร์เปิดหน้าต่างด้วย
ตอนเที่ยงหยุดพักรับประทานอาหาร ปิดแอร์ ปิดไฟ ปิดพัดลม
หรือหลายหน่วยราชการมีกระติกน้ำร้อนก็อย่าเสียบแช่ไว้ตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะเดียวกันก็ต้องเชิญชวนว่าการแต่งกายไปทำงานให้แต่งให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ
ท่านนายกรัฐมนตรีได้ประกาศแล้วว่าถ้าไม่มีงานอะไรที่เป็นพิธีรีตองให้ถอดเสื้อนอกใช้เสื้อขาว
เสื้อสี แขนยาว แขนสั้น ผูกเนคไท หรือชุดพระราชทาน
หลายแห่งที่ยังมีข้อห้ามว่าถ้าไม่ใส่สูทห้ามเข้าก็ต้องแก้กฎระเบียบเหล่านั้น
แม้กระทั่งรถนำ
รถตามของขบวนทั้งหลายที่ยืดยาวเผาผลาญน้ำมันก็ต้องขอร้องให้ลดลงเหลือเท่าที่จำเป็น
หรือไม่ต้องมีได้ไหม
มาตรการเหล่านี้คงจะลองซักเดือนเศษๆ หรือ 2 เดือน
จนกระทั่งถึงปลายปีงบประมาณ สิ้นเดือนกันยายน 2548 ถ้าแนวโน้มยังไม่ดีขึ้น
มิหนำซ้ำจะเลวร้ายลงก็คงเข้าไปสู่ช่วงของการบังคับ
ซึ่งต้องคิดกันอีกครั้งหนึ่งว่าจะผลักดันมาตรการใดออกมา
ทุกวันนี้ยังเชื่อว่าน่าจะได้ผลในระดับหนึ่ง
เมื่อไม่นานมานี้
รองนายก สมคิด กระทรวงการคลังได้เชิญเอกชนรายใหญ่มาประชุม
ถ้าเค้าช่วยกันประหยัดพลังงานทุกราย แค่นี้ก็ลดนำเข้าน้ำมันไปได้โขเลย
แต่เค้าก็พยายามอยู่แล้วเพราะเป็นเงินเป็นทองของเค้า
ภาครัฐของเราเสียอีกที่ยังตอบไม่ได้ว่าไปรณรงค์ให้เค้าประหยัดทำไม
เพราะไฟเราก็ไม่ได้จ่าย น้ำมันเราก็ไม่ได้ออก ตรงกันข้ามถ้ามันเย็น
ถ้ามันสว่างเราจะสะดวกสบาย โดยเฉพาะ บริษัท ซีพี 7-11 ใช้มาตรการเล็กๆ
โดยเจาะฝาและต่อท่อระบายความร้อนออกข้าง นอกสามารถประหยัดไฟได้ถึง 30
เปอร์เซ็นต์ แล้วลองนึกดูว่าถ้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ
ลองคิดลองหาวิธีทำบ้างภาพรวมจะบังเกิดประโยชน์มหาศาลขนาดไหน
เมื่อสักครู่ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี
ท่านได้ไปดัดแปลงรถยนต์ของท่านใช้เติม NGV ก็สามารถประหยัดเงินได้เยอะ
เสียอย่างเดียวหาปั้มเติมยาก ตรงนี้ กระทรวงพลังงานก็ต้องคิดอ่านต่อไป
รัฐต้องจัดให้
ทั้งหมดที่พูดมานี้ไม่ได้เป็นการประกาศนโยบายแต่เป็นเรื่องที่มาบอกกล่าวเล่าสิบให้ท่านทั้งหลายทราบเพราะอยู่ในช่วงเวลาที่เราพูดกันว่า
Convincing ผมไม่แน่ใจว่าผม Convince ท่านได้ขนาดไหน จูงใจท่านได้ขนาดไหน
และทำให้ท่านมีความรู้สึกตระหนักในความสำคัญของการรวมพลังเพื่อลดใช้พลังงานได้ขนาดไหน
แต่ยังทำต่ออีก
สื่อมวลชนที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ หน่วยงานของรัฐ ครูบาอาจารย์
กระทรวง ทบวง กรม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านต้องเป็นตัวนำ
ไม่ช้าไม่นานเราจะมีมาตรการสำคัญมาใช้กับภาครัฐอย่างหนึ่ง
เพราะทุกวันนี้ส่วนราชการทุกแห่งในประเทศไทยต้องถูกประเมินอยู่แล้ว
และก็ประเมินได้ความอย่างไร
สิ้นปีเขาให้รางวัลเป็นโบนัสย้อนกลับไปแจกกันในกระทรวง ทบวง กรม ปีที่แล้ว
2547 เราให้คะแนนเต็ม 5 สำหรับ Performance คือ การปฏิบัติราชการที่ดี
เราจ้างบริษัทเอกชนคือบริษัท ทริสต์ เข้ามาประเมินและก็ ก.พ.ร.
เข้าไปเป็นตัวสนับสนุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 เขาประเมินไปแล้ว
พบว่าส่วนราชการที่ได้คะแนนเกือบถึง 5 คือ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
และแน่นอนว่ามีส่วนราชการที่ได้คะแนนไม่ถึง 2.5 คะแนน แปลว่าสอบตก
ปีนี้ก็จะมีการประเมินอีก และสิ่งที่เราเรียกว่าดัชนีชี้วัด
เขาดูจากการบริการประชาชน การลดเวลา ลดขั้นตอน คนมาติดต่อราชการพึงพอใจ
ข้าราชการยิ้มแย้มแจ่มใส เรื่องเสร็จเร็ว ตัว KPI (Key Performance
Indicator) ตัวหนึ่งที่จะใส่ลงไปด้วยตัวหนึ่งคือ มาตรการประหยัดพลังงาน
ลดไฟฟ้า ลดโทรศัพท์ ลดน้ำมัน อย่างไร วิธีการก็คือเอาใบเสร็จของ 1-2
ปีก่อนมาดูแล้วเทียบกัน
และถ้าหากว่าคะแนนเป็นที่พอใจก็จะเป็นโบนัสย้อนกลับไปให้
แน่นอนแต่ละกรมได้ไม่เท่ากัน กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง
และผมได้หารือกันว่า เงินตราที่ท่านประหยัดได้
ปกติมันต้องส่งคืนคลังกำลังหาทางเอาเงินย้อนกลับมาให้เป็นงบประมาณเพิ่มเติมกับส่วนราชการเพื่อเอาไว้ทำอะไรต่อไป
ซึ่งได้แน่ๆ เพราะทุกวันนี้ก็พอจะได้อยู่แล้ว แต่มีระเบียบอยู่นิดหนึ่งว่า
ถ้าส่วนราชการนั้นเป็นหนี้สาธารณูปโภค ค่าไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์
ให้จ่ายหนี้เสียก่อนถ้าเหลือแล้วค่อยมาว่ากัน มันไม่เหลือหรอก
เพราะฉะนั้นกำลังคิดว่าไม่ต้องหักสาธารณูปโภค
ติดหนึ้ก็ค้างไว้อย่างนั้นแหละ ได้ไหม ขณะนี้กำลังสร้างหลักเกณฑ์อยู่
นี่ก็ Incentive อีกอย่างหนึ่งนะครับ
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพครับ รัฐบาลขอเชิญท่านเป็นอัศวินสีทองขี่ม้าขาว
ถือธงชาติ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากจนทำไม่ได้ ทำได้
ท่านทำอย่างไรในที่ทำงานท่าน ก็กรุณาไปทำอย่างนั้นที่บ้านท่านด้วย
ท่านทำอย่างไรกับตัวเองก็กรุณาบอกให้คนอื่นทำอย่างเดียวกับท่านด้วย
แต่ทำให้ถูกวิธีเท่านั้นแหละครับ ให้สุดท้ายนำไปสู่การประหยัดพลังงาน
เป็นสุดยอดปรารถนาในยามนี้และในบ้านเมืองนี้